จรรยามารยาท
จรรยามารยาท หมายถึง การนําสิ่งที่นายกยองสรรเสริญมาปฏิบัติทั้งในดานวาจา การกระทํา และ
มารยาทที่ดีงาม
อิสลามเปนศาสนาที่สมบูรณ จัดระบอบการดําเนินชีวิตของมนุษยในทุกสภาวการณ กําชับใหปฏิบัติใน
สิ่งที่เปนประโยชนและหามปรามจากสิ่งที่เกิดโทษ และไดกําหนดมารยาทตางๆ ตอตนเองและตอผูอื่น มารยาท
ยามรับประทานอาหารและดื่ม มารยาทยามนอนและตื่น มารยาทยามอยูในพื้นที่และเดินทาง และมารยาทในทุก
อิริยาบทของชีวิตประจําวัน
อัลลอฮฺไดตรัสวา :
∩∠∪ É>$s)Ïèø9$# ß
‰ƒÏ‰x© ©
!$# ¨
βÎ) (
©
!$# (#θ
à
)
¨
?$#uρ 4 (#θ
ß
γtFΡ$$sù ç
µ÷Ψtã öΝ
ä39pκtΞ $tΒuρ ç
νρ
ä
‹ã
‚sù ãΑθß™§
9$# ã
Ν
ä39s?#u™ !$tΒuρ
(الحشر : 7)
ความวา “และสิ่งใดที่รอซูลไดนํามายังพวกเจา พวกเจาก็จงยึดมั่นเอาไวและสิ่งใดที่ทานหามปราม
ไมใหพวกเจากระทํา พวกเจาก็จงละเวนเสีย และพวกเจาจงเกรงกลัวตออัลลอฮฺเถิด แทจริง อัลลอฮฺ
นั้นเปนผูทรงเขมงวดในการลงโทษ” (อัล-หัชร : 7)
ในบรรดามารยาทที่ไดมีระบุในอัลกุรอานและในหะดีษที่เศาะฮีหฺมีดังตอไปนี้ :
1- มารยาทการใหสลาม
ความประเสริฐของการใหสลาม
1. จากอับดุลลอฮฺบิน อัมรเราะฎิยัลลอฮฺอันฮุกลาววา :
أَنَّ رَجُلاً سَأَلَ النَّبِىَّ صلى االله عليه وسلم : أَىُّ الإِسْلاَمِ خَيْرٌ؟، قَالَ: « تُطْعِمُ الطَّعَامَ، وَتَقْرَأُ السَّلاَمَ
عَلَى مَنْ عَرَفْتَ وَمَنْ لَمْ تَعْرِفْ»
ความวา มีชายผูหนึ่งไดถามทานนบีศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม วา (บทบัญญัติของ)อิสลามขอ
ไหนดีที่สุด? ทานรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม ตอบวา “คือการที่ทานใหอาหารแกผูอื่น และ
การที่ทานใหสลามแกผูที่ทานรูจักและผูที่ทานไมรูจัก” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย : 12 สํานวนรายงาน
เปนของทาน, มุสลิม : 39)
2. จากอบูฮุร็อยเราะฮฺเราะฎิยัลลอฮฺอันฮุกลาววา :
قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صلى االله عليه وسلم: « وَالَّذي نَفْسي بِيَدِهِ لاَ تَدْخُلُونَ الْجَنَّةَ حَتَّى تُؤْمِنُوا ، وَلاَ
تُؤْمِنُوا حَتَّى تَحَابُّوا، أَوَلاَ أَدُلُّكُمْ عَلَى شَىْءٍ إِذَا فَعَلْتُمُوهُ تَحَابَبْتُمْ؛ أَفْشُوا السَّلاَمَ بَيْنَكُمْ».
ความวา ทานรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม ไดกลาววา “ขอสาบานกับผูที่ชีวิตฉันอยูในพระ
หัตถของพระองควา พวกทานจะไมเขาสวรรคจนกวาพวกทานจะศรัทธา และพวกทานจะไมศรัทธา
3
จนกวาพวกทานจะรักใครปรองดองกัน พวกทานจะเอาไหม ฉันจะบอกวิธีหนึ่งที่เมื่อพวกทานปฏิบัติ
แลว พวกทานก็จะรักใครซึ่งกันและกัน ? จงแพรสลามในหมูพวกทาน” (บันทึกโดยมุสลิม : 54)
3. จากอับดุลลอฮฺบิน สลาม เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุกลาววา :
سَمِعْتُ رَسُولَ اللَّهِ صلى االله عليه وسلم يَقُوْلُ : ـ وفيه ـ « أَيُّهَا النَّاسُ! أَفْشُوا السَّلاَمَ، وَأَطْعِمُوا
الطَّعَامَ، وَصَلُّوا وَالنَّاسُ نِيَامٌ؛ تَدْخُلُونَ الْجَنَّةَ بِسَلاَمٍ».
ความวา ฉันไดยินทานรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม กลาววา “โอมนุษยเอย ! พวกทานจง
แพรสลาม จงเลี้ยงอาหาร และทําละหมาดในยามที่คนอื่นตางหลับไหล แลวทานจะไดเขาสรวง
สวรรคดวยความสันติราบรื่น” (เปนหะดีษ เศาะฮีหฺบันทึกโดยอัต-ติรมิซีย : 2485 สํานวนนี้เปนของ
ทาน ดูเศาะฮีหฺสุนัน อัต-ติรมิซีย : 2019, อิบนุมาญะฮฺ : 1334 ดูเศาะฮีหฺสุนัน อิบนิมาญะฮฺ :
1097)
วิธีการใหสลาม
1. อัลลอฮฺไดตรัสวา :
∩∇∉∪ $·
7ŠÅ¡ym >™ó©x« Èe≅
ä
. 4’n?tã tβ%x. ©
!$# ¨
βÎ) 3 !$yδρ
–
Šâ‘ ÷ρr& !$pκ÷]ÏΒ z⎯|¡ômr'Î/ (#θ
–
Šyssù 7
π
¨
ŠÅstFÎ/ Λ
ä
⎢ŠÍh‹
ã
m #sŒÎ)uρ
(النساء : 86)
ความวา “และเมื่อพวกเจาไดรับการอวยพรดวยคําอวยพรหนึ่ง พวกเจาก็จงกลาวตอบ (แกผูที่อวย
พร)ดวยคําอวยพรที่ดีกวานั้น หรือดวยคําเชนเดียวกัน แทจริงอัลลอฮฺนั้นเปนผูทรงคํานวณนับในทุก
สิ่ง” (อัน-นิสาอ : 86)
2. จากอิมรอน บิน หุศ็อยนเราะฎิยัลลอฮฺอันฮุกลาววา :
جَاءَ رَجُلٌ إِلَى النَّبِىِّ صلى االله عليه وسلم ، فَقَالَ: السَّلاَمُ عَلَيْكُمْ. فَرَدَّ عَلَيْهِ السَّلاَمَ، ثُمَّ جَلَسَ. فَقَالَ
النَّبِىُّ صلى االله عليه وسلم: « عَشْرٌ» . ثُمَّ جَاءَ آخَرُ، فَقَالَ: السَّلاَمُ عَلَيْكُمْ وَرَحْمَةُ اللَّهِ . فَرَدَّ عَلَيْهِ،
فَجَلَسَ. فَقَالَ: « عِشْرُونَ» . ثُمَّ جَاءَ آخَرُ، فَقَالَ: السَّلاَمُ عَلَيْكُمْ وَرَحْمَةُ اللَّهِ وَبَرَكَاتُهُ . فَرَدَّ عَلَيْهِ،
فَجَلَسَ. فَقَالَ: «ثَلاَثُونَ».
ความวา : มีชายคนหนึ่งไดมาหาทานนบีศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม แลวกลาววา “อัสสลามมุอะ
ลัยกุม” ทานจึงตอบสลาม แลวเขาก็นั่งลง แลวทานนบีก็บอกวา “ไดสิบ” ตอมามีคนอื่นมาหาอีกเขา
กลาววา “อัสสลามุอะลัยกุม วะเราะฮฺมะตุลลอฮฺ” ทานจึงตอบกลับ แลวเขาก็นั่งลง ทานบอกวา “ได
ยี่สิบ” ตอมาก็มีคนอื่นมาหาอีก เขากลาววา “ อัสสลามุอะลัยกุม วะเราะฮฺมะตุลลอฮฺวะบะเราะกา
ตุฮฺ” ทานก็ตอบกลับ แลวเขาก็นั่งลง ทานบอกวา “ไดสามสิบ” (เปนหะดีษ เศาะฮีหฺบนทั กโดย ึ อบูดา
4
วูด : 5195 ดูเศาะฮีหฺสุนัน อบีดาวูด : 4327, อัต-ติรมิซีย : 2689 ดูเศาะฮีหฺสุนัน อัต-ติรมิซีย :
2163)
ความประเสริฐของผูที่เริ่มใหสลามกอน
1. มีรายงานจากอบูอัยยูบ อัล-อันศอรียศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม วาทานรอซูล ศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิ
วะสัลลัม ไดกลาววา :
« لاَ يَحِلُّ لِمُسْلِمٍ أَنْ يَهْجُرَ أَخَاهُ فَوْقَ ثَلاَثِ لَيَالٍ يَلْتَقِيَانِ فَيُعْرِضُ هَذَا وَيُعْرِضُ هَذَا ، وَخَيْرُهُمَا الَّذِى
يَبْدَأُ بِالسَّلاَمِ».
ความวา “ไมอนุมัติใหมุสลิมตัดสัมพันธกับพี่นองของเขาเกินกวาสามคืน ซึ่งสองคนนั้นเจอกันแลว
ตางคนตางหนีหนา และผูที่ประเสริฐกวาในสองคนนั้นคือผูที่เริ่มใหสลามกอน” (บันทึกโดย อัล-บุคอ
รีย : 6077, มุสลิม : 2560 สํานวนนี้เปนของทาน)
2. จากอบูอุมามะฮฺเราะฎิยัลลอฮฺอันฮุกลาววา : ทานเราะสูลุลลอฮฺศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม ได
กลาววา :
«إِنَّ أَوْلَى النَّاسِ بِاللَّهِ مَنْ بَدَأَهُمْ بِالسَّلاَمِ».
ความวา “แทจริงผูมีความพิเศษกับอัลลอฮฺมากที่สุด คือ คนที่เริ่มใหสลามกอนคนอื่น” (เปนหะดีษ
เศาะฮีหฺบันทึกโดยอบูดาวูด : 5197 สํานวนเปนของทาน ดูเศาะฮีหฺสุนัน อบีดาวูด : 4338, อตั-ตริ
มิซีย : 2694 ดูเศาะฮีหฺสุนัน อัต-ติรมิซีย : 2167)
ผูที่สมควรเริ่มใหสลามกอน
1. มีรายงานจากอบูฮุร็อยเราะฮฺเราะฎิยัลลอฮฺอันฮุวาทานนบีศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม ไดกลาว
วา :
«يُسَلِّمُ الصَّغِيرُ عَلَى الْكَبِيرِ، وَالْمَارُّ عَلَى الْقَاعِدِ، وَالْقَلِيلُ عَلَى الْ